5 ข้อเรื่องฝ้าน่ารู้

ข้อ 1 ฝ้าคืออะไร?

ตอบ ปัญหาผิวหนังที่เกิดจากเซลล์เม็ดสีใต้ชั้นผิว เม็ดสีเมลานิน ทำงานผิดปกติ มักเกิดกับผู้หญิงวัยกลางคน ลักษณะเป็นรอยสีคล้ำหรือน้ำตาลบริเวณแก้ม โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก

ข้อ 2 ประเภทของฝ้าแบ่งได้กี่ชนิด มีอะไรบ้าง?

ตอบ ฝ้ามี 4 ชนิดใหญ่ๆ คือ

  1. ฝ้าตื้น (Epidermal type)  เม็ดสีผิดปกติที่เกิดที่ผิวหนังชั้นบนสุด (ชั้นหนังกำพร้า) ทำให้ฝ้ามีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้ม หรือดำ และ เห็นเป็นขอบเขตชัดเจน
  2. ฝ้าลึก (Dermal type) เม็ดสีผิดปกติใต้ผิวชั้นหนังกำพร้า คืออยู่ในชั้นผิวหนังแท้ (ผิวหนังชั้นในใต้หนังกำพร้าอีกที) ฝ้าชนิดนี้มักจะมีสีอ่อนกว่าชนิดฝ้าตื้น โดยจะมีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีน้ำตาลเทา สีม่วงอมน้ำเงิน มองเห็นขอบเขตได้ยาก บริเวณขอบๆมักมีสีกลืนไปกับผิวหนังปกติ
  3.  ฝ้าผสม (Mixed type) ผสมกันทั้งฝ้าชนิดตื้น และชนิดลึก เป็นชนิดที่พบมากที่สุด
  4. ฝ้าที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็นฝ้าชนิดใด (Indeterminate type) มักพบในผู้ที่สีผิวเข้มมาก หรือ คล้ำมาก เช่น ในชนชาติแอฟริกัน เป็นต้น
UV 1 ในสาเหตุการเกิดฝ้า

ข้อ 3 สาเหตุการเกิด มีอะไรบ้าง?

  1. กรรมพันธุ์ โดยพบว่าผู้ที่มีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นฝ้าจะมีโอกาสเป็นฝ้าสูงกว่าคนที่มาจากครอบครัวที่ไม่มีประวัติ
  2. ฮอร์โมน (Hormone) พบว่า  ฮอร์โมนเพศหญิงทั้งเอสโตรเจน (Estrogen) และโปรเจสเตอโรน (Progesterone) เป็นตัวกระตุ้นให้สร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ดังนั้น ในหญิงตั้งครรภ์จะเกิดฝ้าได้ง่ายขึ้น และจากเหตุผลเดียวกันผู้หญิงจึงเกิดฝ้าได้ง่ายกว่าผู้ชาย
  3. รังสียูวี (Ultraviolet : UV) มีการวิจัยพบว่า คลื่นรังสีทั้งยูวีเอ (Ultraviolet A) ยูวีบี (Ultraviolet B) และแสงที่ตามองเห็น (Visible light) เหล่านี้ จะเข้าทำลายชั้นผิวหนัง โดยเฉพาะรังสี UVA ที่มีช่วงคลื่นยาวสามารถเข้าไปทำลายผิวในชั้นลึกหรือชั้นหนังแท้ (Dermis) เมื่อรังสียูวีเข้าไปทำลายที่ชั้นผิว ส่งผลให้ร่างกายสร้างเมลานิน ขึ้นมาเพื่อป้องกันรังสียูวี  ก่อเกิดผิวหนังบริเวณนั้นหมองคล้ำ ถ้ามีการผลิตเมลานินมากไป จะทำให้ผิวบริเวณนั้นคล้ำไม่สม่ำเสมอเกิดเป็นกระ หรือฝ้าได้
  4. การขาดสารอาหาร เช่น ร่างกายขาดกรดโฟลิก (Folic) วิตามิน เอ ซี และบี 12 (Vitamin A C B12)
  5. อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น ผู้ที่มีอาการไทรอยด์เป็นพิษ โรคตับ มีโอกาสเป็นฝ้าสูงกว่าคนทั่วไป
คลิกที่รูปเพิ่มเพื่อน

ข้อ 4 แนวทางการรักษาฝ้า ที่นิยมในปัจจุบัน?

  1. วิธีรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์สลายออก เป็นวิธีที่เห็นผลเร็ว ชัดเจนแต่มีค่าใช้จ่ายที่สูง นอกจากนี้เลเซอร์ยังมีหลายเกรดหลายประเภทควรเลือกเลเซอร์ที่จำเพาะแก่การรักษาฝ้าจะดีที่สุด
  2. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)เป็นการลอกผิวหน้าในชั้นหนังกำพร้า การรักษาด้วยวิธีนี้จะช่วยปรับสภาพผิวชั้นนอกแล้วสร้างเซลล์ผิวใหม่แต่มักไม่ค่อยได้ผลกับฝ้าลึก
  3. ยากินรักษาฝ้า ควรรักษาภายใต้คำแนะนำจากแพทย์ ไม่ควรเลือกซื้อยาทานเอง
  4. ใช้ยาทารักษาฝ้า มักได้ผลดีในฝ้าตื้นมากกว่าฝ้าลึก และควรเลือกยารักษาฝ้าที่มีส่วนประกอบที่เหมาะสม ไม่เป็นอันตรายจะเห็นผลจากยาทาภายใน 2 เดือน โดยสีของฝ้านั้นจะจางลง ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วนฝ้าลึกนั้น รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง
  5. ฉีดยารักษาฝ้า ปัจจุบันมียาฉีดที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี เช่น Tranexamic acid หรือสารที่ช่วยลดอนุมูลอิสระ เป็นการรักษาที่ช่วยกระจายยาไปยังชั้นผิวเฉพาะเจาะจง

ข้อ 5 ข้อควรทำเพื่อป้องกันการเกิดฝ้า?

  1. หลบเลี่ยงการถูกแสงแดดหรือความร้อนทั้งความแรงและระยะเวลา
  2. การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน และเลือกทาอย่างมีคุณภาพ เช่น ดูคุณสมบัติของสารกันแดด  UVA   UVB  UVC
  3. การหลีกเลี่ยงยาที่กระตุ้นสร้างเม็ดสี
  4. หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางค์ที่แพ้

ขอแชร์ค่ะ